พระธาตุศรีจอมทองเป็นสถานที่ประดิษฐานของพระ ทักษิณโมลีธาตุ   พระธาตุ ส่วนที่เป็น พระเศียรเบื้องขวาของ  สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า   มีขนาดโตประมาณ เมล็ดข้าวโพด สันฐานกลมเกลี้ยง  สีขาวนวลเหมือน ดอกบวบ หรือ   สีคล้ายดอกพิกุลแห้ง ตามประวัติเล่าว่า  พระเจ้าอโศกมหาราช   เป็นผู้อัญเชิญมาประดิษฐานไว้ที่ ดอยจอมทอง ตั้งแต่ปี  พ.ศ. 218 ปัจจุบัน พระธาตุ   ถูกบรรจุไว้ในพระโกศ 5 ชั้น ซึ่งตั้งอยู่ภายใน  พระวิหารจตุรมุข   ก่ออิฐถือปูนทั้งองค์ มีฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส  คล้ายพระเจดีย์ กว้าง   4 เมตร สูง   8 เมตร   ตามประวัติว่าสร้างขึ้นโดย  พระเจ้าดิลกปนัดดาธิราช หรือ พระเมืองแก้ว   กษัตริย์ราชวงศ์มังราย  เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ เมื่อปี พ.ศ. 2060
----------------------------------------------------------
----------------------------------------------------------
         ประวัติพระธาตุลำปางหลวง   ตามตำนานกล่าวว่า  ในสมัยพุทธกาล   พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระเถระสามองค์ได้เสด็จจาริก                                 ไปตามบ้านเมืองต่าง ๆ   จนถึงบ้านสัมภะการีวัน  (บ้านลำปางหลวง) พระพุทธเจ้าได้ประทับเหนือดอยม่อนน้อย    มีชาวลัวะคนหนึ่งชื่อ ลัวะอ้ายกอน เกิดความเลื่อมใส    ได้นำน้ำผึ้งบรรจุกระบอกไม้ป้างมะพร้าว และมะตูมมาถวายพระพุทธเจ้า    พระพุทธองค์ได้ฉันน้ำผึ้ง  แล้วทิ้งกระบอกไม้ป้างไปทางทิศเหนือ    แล้วทรงพยากรณ์ว่า สถานที่แห่งนี้ต่อไปจะมีชื่อว่าลัมพกัปปะนคร    แล้วได้ทรงลูบพระเศียร ได้พระเกศามาหนึ่งเส้น มอบให้แก่ลัวะอ้ายกอน    ลัวะอ้ายกอนได้นำพระเกศานั้น บรรจุในผอบทองคำ    และใส่ลงในอุโมงค์พร้อมกับถวายแก้วแหวนเงินทองเป็นเครื่องบูชา    แล้วแต่งยนต์ผัด (ยนต์หมุน) รักษาไว้ และถมดินให้เรียบเสมอกัน                          แล้วก่อเป็นพระเจดีย์สูงเจ็ดศอกเหนืออุโมงค์นั้น    ในสมัยต่อมาก็ได้มีกษัตริย์อีกหลายพระองค์   มาก่อสร้างและบูรณซ่อมแซม
--------------------------------------------------------------------
--------------------------------------------------------------------
           พระธาตุช่อแฮ    เป็นเจดีย์บรรจุพระเกศาและพระบรมสารีริกธาตุพระศอกซ้ายของสมเด็จพระสัมมาสัม พุทธเจ้า                                เป็นปูชนียสถานที่ศักดิ์ศิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของเมืองแพร่มาแต่โบราณตาม ตำนานกล่าวว่าขุนลัวะอ้ายก๊อมเป็นผู้สร้างปรากฏหลักฐานการบูรณะปฏิสังขรณ์ ระหว่าง   พ.ศ. 1879-1881  ในสมัยพระมหาธรรมราชา(ลิไท)เมื่อครั้งยังทรงเป็นพระมหาอุปราชครองเมือง ศรีสัชนาลัย   ลักษณะองค์พระธาตุเป็นเจดีย์ทรงแปดเหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสอง    ศิลปะแบบเชียงแสนสูง 33 เมตร ฐานสี่เหลี่ยมกว้างด้านละ 11 เมตร  สร้างด้วยอิฐโบกปูน   หุ้มด้วยแผ่นทองเหลือง ลงรักปิดทอง 
-------------------------------------------------------------------
-------------------------------------------------------------------
           พระธาตุแช่แฟ้ง    จากพงศาวดารเมืองน่านกล่าวว่า พระยาการเมือง    เจ้านครน่านได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุจากกรุงสุโขทัย              มาประดิษฐานไว้ที่ดอยภูเพียงแช่แห้ง   และตามตำนานกล่าวว่า    พระพุทธเจ้าได้เสด็จมาประทับสรงน้ำที่ริมฝั่งแม่น้ำน่านทางทิศตะวันออก    ที่บ้านห้วยไค้ และเสวยผลสมอแห้ง ซึ่งพระยามลราชนำมาถวาย    แต่ผลสมอนั้นแห้งมาก    พระพุทธเจ้าจึงทรงนำผลสมอนั้นไปแช่น้ำก่อนเสวยและทรงพยากรณ์ว่า    ต่อไปที่นี่จะมีผู้นำพระบรมสารีริกธาตุมาประดิษฐาน    จึงเรียกพระสถูปที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุแห่งนี้ว่า พระธาตุแช่แห้ง 
----------------------------------------------------------------
----------------------------------------------------------------
          เป็นวัดสำคัญวัด หนึ่งซึ่งประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยขัดสมาธิเพชร    ประดิษฐานอยู่ในวิหารลายคำ                  เมื่อถึงเทศกาลสงกรานต์ชาวเมืองจะอัญเชิญพระพุทธรูปองค์นี้แห่ไปตามถนนรอบ เมืองเพื่อให้ประชาชนสรงน้ำโดยทั่วถึงกันแต่เดิมที่ดินบริเวณวัดนี้เป็นตลาด  เรียกชื่อว่า วัดลีเชียง (ลี หมายถึง   ตลาด) จนถึงปี พ.ศ. 1888  พระเจ้าผายู กษัตริย์องค์ที่ 5 ในราชวงศ์มังรายทรงโปรดฯ ให้สร้างวัดนี้ขึ้น  พร้อมทั้งสร้างพระเจดีย์สูง 24   ศอกองค์หนึ่ง  เพื่อใช้เป็นที่บรรจุอัฐิพระราชบิดา            ของพระองค์    สถาปัตยกรรมสำคัญของวัดนี้ได้แก่ วิหารลายคำที่มีจิตรกรรมฝาผนังงดงาม    พระอุโบสถ์หอไตรที่มีปูนปั้นรูปเทวดาประดับ และเจดีย์ทรงกลมแบบล้านนา 
-----------------------------------------------------------
-----------------------------------------------------------
        วัดโพธารามมหาวิหาร เป็นวัดพระอารามหลวง ชั้นตรี ชนิดสามัญ เดิมชื่อวัดเจดีย์เจ็ดยอด  หรือ วัดเจ็ดยอด  ตั้งอยู่ที่ตำบลช้างเผือก อำเภอเมืองเชียงใหม่  จังหวัดเชียงใหม่ พระเจ้าติโลกราช กษัตริย์องค์ที่ 11 แห่งราชวงศ์เม็งราย  ทรงสร้างวัดโพธารามมหาวิหาร สร้างด้วยศิลาแลงประดับลวดลายปูนปั้น  เป็นเจดีย์พุทธคยา ประเทศอินเดีย เป็นสถานที่สังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 8  ของโลก ปัจจุบันเจดีย์เจ็ดยอดหักพังไปเกือบหมด
         พุทธคยา คือคำเรียกกลุ่มพุทธสถานสำคัญใน อำเภอคยา  รัฐพิหาร ประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นพุทธสถานที่มีความสำคัญที่สุด 1 ใน 4 แห่ง  ของชาวพุทธ เนื่องจากเป็นที่ตั้งของสถานที่ตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  พุทธสังเวชนียสถานที่มีความสำคัญที่สุดของชาวพุทธทั่วโลก  ปัจจุบันบริเวณพุทธศาสนสถานอันเป็นที่ตั้งของสถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า  มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วัดมหาโพธิ
----------------------------------------------------------
----------------------------------------------------------
           พระมหาธาตุเจดีย์ชเวดากอง ตั้งอยู่บริเวณเนินเขาเชียงกุตระ เมืองย่างกุ้ง  ประเทศพม่า  เชื่อกันว่าเป็นมหาเจดีย์ที่บรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้าจำนวน 8 เส้น  พระเจดีย์ได้ถูกทิ้งร้าง จนพระเจ้าพินยาอู ได้ทรงสร้างพระเจดีย์ใหม่สูง 18  เมตร พระเจดีย์ได้ถูกซ่อมแซมเรื่อยมา จนมามีความสูง 98 เมตร  ต่อมาได้เกิดแผ่นดินไหว ทำให้พระเจดีย์ได้รับความเสียหาย และเมื่อปี พ.ศ.  2311  ในสมัยกรุงธนบุรี  ได้เกิดแผ่นดินไหวอย่างหนัก  ทำให้ยอดของพระเจดีย์หักถล่มลงมา
--------------------------------------------------------------------
--------------------------------------------------------------------
        พระบรมธาตุดอยสุเทพ    สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้ากือนาธรรมิกราช เจ้าเมืองเชียงใหม่องค์ที่ 9    โดยพระเจ้ากือนาทรงรับสั่งให้อัญเชิญ                  พระบรมสารีริกธาตุที่พระมหาสุมนเถระ   นำมาจากเมืองศรีสัชนาลัย  ซึ่งได้ขุดพบจากนิมิตฝันของพระมหาสุมนเอง    เมื่ออัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาสู่เชียงใหม่แล้ว พระธาตุได้แยกเป็นสองส่วน    พระเจ้ากือนาทรงเลื่อมใส ได้อัญเชิญบรรจุไว้ที่พระธาตุวัดสวนดอก  ส่วนองค์ที่สอง ได้อัญเชิญขึ้นบนหลังช้างเพื่อเสี่ยงทายว่า ช้างหยุดที่ใด    ก็จะสร้างเจดีย์บรรจุพระบรมธาตุที่นั่น แล้วปล่อยช้างไป   ช้าง  ด้มุ่งหน้าไปสู่ทิศตะวันตก ขึ้นไปยังดอยสุเทวะฤาษี   หรือดอยสุเทพปัจจุบัน  แล้วมาหยุดที่ยอดดอยสุเทพ   พระเจ้ากือนาทรงรับสั่งให้สร้าง พระเจดีย์ ณ  ที่นั้น มีขนาดสูง 5 วา เมื่อ   พ.ศ. 1916 ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2068  พระเจ้าเกษเกล้า กษัตริย์องค์ที่ 12 ของเชียงใหม                                 ได้ทำการบูรณะพระเจดีย์ โดยได้นิมนต์พระมหาญาณมงคลโพธิ    จากลำพูนมาเป็นประธานการบูรณะ โดยขยายพระเจดีย์ให้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม สูง 11  วา กว้าง 6 วา ที่ปรากฏทุกวันนี้ 
-------------------------------------------------------------------
-------------------------------------------------------------------
        พระธาตุพนม    เป็นปูชนียสถานศักดิ์สิทธิ์ของภาคอีสาน    ประดิษฐานบนเนินที่เรียกว่าภูกำพร้า                                 ปัจจุบันเป็นบริเวณวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร  อยู่ห่างจากตัวเมืองนครพนมราว    52 กิโลเมตร พระธาตุพนมสร้างขึ้นแต่สมัยอาณาจักรศรีโคตรบูรณ์ ประมาณ พ.ศ.  8   โดยเจ้าเมือง 5             องค์คือ พระยาสุวรรณภิงคารนะ พระยาคำแดง    พระยาอินทปัตถะนคร พระยาจุลนีพรหมทัต และพระยานันทเสน    เพื่อบรรจุพระอุงรังคธาตุ (กระดูกส่วนหน้าอก) ของพระพุทธเจ้า    ลักษณะพระเจดีย์เป็นเจดีย์ทรงบัวเหลี่ยม   หรือทรงแจกัน  ก่อด้วยอิฐมีลวดลายจำหลักลงไปในแผ่นอิฐ มีซุ้มคั่นด้านละซุ้ม   ซ้อมกัน 3  ชั้น ลดหลั่นกันลงมาอย่างวิจิตร    พระธาตุพนมได้รับการบูรณะเรื่อยมาตามกาลเวลา และในวันที่ 11   สิงหาคม    2518  องค์พระธาตุพนมได้หักโค่นลง    ประชาชนชาวไทยทั่วทั้งประเทศได้ร่วมกันสละทุนทรัพย์ก่อสร้างขึ้นใหม่    และมีพิธีอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุขึ้นบรรจุอีกครั้งในวันที่ 23 มีนาคม    2522 
-------------------------------------------------------------------
-------------------------------------------------------------------
       พระธาตุหริภุญชัย    เป็นปูชนียสถานสำคัญยิ่งแห่งหนึ่งในภาคเหนือ และเป็นมิ่งขวัญของชาวลำพูน    ตั้งอยู่ในวัดพระธาตุหริภุญชัย                  ในกลางเมืองลำพูน  ภายในวัดเป็นลานกว้าง   มีวิหารหลายหลัง หอระฆังสวยงาม ปรากฏในตำนานว่า    สร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าอาทิตยราชกษัตริย์นครหริภุญชัยราว พ.ศ.1586    ต่อมาได้มีการบูรณะปฏิสังขรณ์พระบรมธาตุนี้อีกหลายครั้งในรัชกาลพระเจ้าติ โลกราชเมื่อ พ.ศ.1986ได้โปรดให้เสริมพระธาตุเป็น   23 วา ฐานกว้าง 12 วา 2  ศอก ยอดมีฉัตร 7 ชั้น                       หลังจากนั้นพระเมืองแก้วได้ทรงบูรณะปฏิสังขรณ์และสร้างระเบียงหอก    ซึ่งเป็นรั้วล้อมพระธาตุ 500 เล่ม แล้วทรงสร้างวิหารหลวง และใน ปีพ.ศ.2329    พระเจ้ากาวิละได้ทรงทำการบูรณะพระบรมธาตุ และทรงสร้างฉัตรหลวงขึ้น 4    มุม และสร้างฉัตรยอดเจดีย์ด้วยทองคำเป็น 9    ชั้นฐานพระธาตุเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสกว้างด้านละ 10                    วาและสร้างรั้วทองเหลืองล้อมรอบองค์เจดีย์ด้านในองค์พระธาตุเป็นสีทองอร่าม เป็นที่ต้องตาต้องใจนักท่องเที่ยวต่างเมืองผู้มีโอกาสได้ ไปเยือนยิ่งนัก    ทางจังหวัดลำพูนได้จัดให้มีงานนมัสการประจำปีขึ้นในวันเพ็ญ เดือน 6    ซึ่งก็คือวันวิสาขบูชา    
------------------------------------------------
------------------------------------------------
          พระธาตุอินทร์แขวน หรือ ไจ้ก์ทิโย  ในภาษามอญ หมายความว่า หินรูปหัวฤๅษี พระธาตุอินทร์แขวน ตั้งอยู่ที่เมืองไจ้ก์โถ่ อำเภอสะเทิม เขตรัฐมอญของประเทศพม่า  บนยอดเขา Paung Laung เหนือระดับ น้ำทะเล 3,615 ฟุต  ลักษณะเด่นของพระธาตุอินทร์แขวนคือ มีลักษณะเป็นก้อนหินสีทองขนาดใหญ่สูง  5.5 เมตร ตั้งอยู่บนหน้าผาสูงชันอย่างหมิ่นเหม่  เหมือนจะหล่นและท้าทายแรงดึงดูดของโลกโดยไม่ตกลงมาอย่างเหลือเชื่อ  พระธาตุอินทร์แขวนนับเป็น1 ใน 5 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ชาวพม่าต้องไปสักการะ  และยังเป็นพระธาตุประจำปีจอ (สุนัข) ที่คนเกิดปีนี้ต้องไปนมัสการสักครั้งหนึ่งในชีวิต
------------------------------------------------------------------
------------------------------------------------------------------
          พระธาตุดอยตุง    นับเป็นโบราณสถานอันเก่าแก่แห่งหนึ่งในภาคเหนือ    ตามประวัติตำนานได้กล่าวไว้ว่า                                 พระมหากัสสะปะเถระเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ได้อาราธนาอัญเชิญเอายังพระบรม สารีริกธาตุกระดูกไหปลาร้า(พระรากขวัญเบื้องซ้าย) ของพระพุทธเจ้า    มามอบถวายแด่พระเจ้าอุชุตราชเจ้าผู้ครองนครนาคพันธ์โยนกชัยบุรี รัชกาลที่ 3    แห่งราชวงศ์สิงหนวต  เป็นประธานพร้อมด้วยมุขมนตรีเสวกอำมาตย์ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินของพระองค์    ได้นำเอาพระบรมสารีริกธาตุขึ้นมาบรรจุสร้างขึ้น ณ ที่ดอยดินแดง    (คือดอยตุงปัจจุบัน) สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.1454 ต่อมาอีก 100 ปี    มีพระอรหันต์องค์หนึ่งชื่อว่า   พระมหาวชิรโพธิเถร                    ได้นำเอาพระบรมสารีริกธาตุมามอบถวายให้พระเจ้ามังรายะนะธิราช  แล้วจึงได้พร้อมใจกันนำเอาพระบรมธาตุขึ้นบรรจุสร้างใหม่ขึ้นมาอีกองค์หนึ่ง บนดอยตุง   พร้อมได้ปฏิสังขรณ์องค์เดิม  











 
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น