19 ก.พ. 2554

วัดพระสิงห์ จ.เชียงใหม่

      มีโอกาสได้แวะเข้ามาในวัดพระสิงห์ สวยงามตามคำบอกเล่าจริงๆ แต่พอดีวันนี้เป็นวันหยุดมีผู้คนมากมาย ที่แวะเข้ามาเยี่ยมชม
                                                                             
         วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร พญาผายู กษัตริย์เชียงใหม่ราชวงศ์เม็งราย โปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๑๘๘๘ ขั้นแรกให้สร้างเจดีย์สูง ๒๓ วา เพื่อบรรจุพระอัฐิ ของพญาคำฟู พระราชบิดา ต่อมาอีกสองปีจึงสร้างพระอาราม เสนาสนวิหาร ศาลาการเปรียญ หอไตร และกุฎิสงฆ์เรียบร้อย ทรงตั้งชื่อว่า "วัดลี" ต่อมาบริเวณหน้าวัดมีตลาดเกิดขึ้นชาวบ้านเรียกว่า "ตลาดลีเชียง" แล้วเรียกวัดว่า "วัดลีเชียง" และ "วัดลีเชียงพระ" ระหว่างปี พ.ศ. ๑๙๓๑ - ๑๙๕๔ สมัยพระเจ้าแสนเมืองมา ขึ้นครองนครเชียงใหม่โปรดให้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์มาจากเมืองเชียงราย เมื่อขบวนช้างอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์มาถึงหน้าวัดลีเชียงก็ไม่ยอมเดินทางต่อ
พระเจ้าแสนเมืองมาจึงให้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ประดิษฐาน ณ วัดลีเชียง ประชาชนทางเหนือนิยมเรียก"พระพุทธสิหิงค์" สั้นๆ ว่า "พระสิงห์" จึงเรียกชื่อวัดตามพระพุทธรูปว่า "วัดพระสิงห์"
            เมื่อถึงปี พ.ศ. ๒๓๕๔ พระเจ้ากาวิละได้ โปรดฯ ให้สร้างอุโบสถ และหอไตรขึ้น โดยมีลักษณะเป็นอาคารทรงล้านนาขนาดใหญ่ ตรงกลางอาคารมีกู่ซึ่งแต่เดิมคงเป็นสถานที่ที่ประดิษฐานพระประธาน


    วิหารลายคำ สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าเมืองแก้ว (พ.ศ.2038 – พ.ศ.2068) และมาซ่อมแซมใหม่สมัยพระเจ้ากาวิโลรสสุริยวงศ์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ 6 ในสมัยรัตนโกสินทร์ (พ.ศ.2399 – พ.ศ.2413) เป็นวิหารล้านนาที่มีความงามสมบูรณ์แบบที่สุด ภายในวาดภาพที่ฝาผนัง (มีอายุในสมัยรัตนโกสินทร์) เป็นเรื่องสุวรรณหงส์ และเรื่องสังข์ทอง นัยว่ามีการแข่งขันกันวาดภาพระหว่างช่างเมืองเหนือที่วาดภาพสังข์ทอง ส่วนทางด้านทิศใต้วาดเรื่องสุวรรณหงส์ ปัจจุบันนี้ได้มีการศึกษาภาพจิตรกรรมฝาผนังแห่งนี้โดยละเอียดแล้ว พบว่าเป็นช่างของภาคเหนือทั้งสองด้าน ด้านทิศเหนือเป็นฝีมือของ “เจ็กเส็ง” ด้านทิศใต้เป็นฝีมือของ “หนานโพธา”  ด้านในมีแท่นประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์ ที่ชาวเชียงใหม่นับถือว่าเป็นพระพุทธรูปที่สำคัญและศักดิ์สิทธิ์ได้มาจาก ลังกา  ผู้ช่วยศาสตราจารย์นันทนา ปกป้อง ได้ให้ข้อคิดเห็นว่า จากลักษณะขององค์พระพุทธสิหิงค์แล้ว เป็นพระเชียงแสนรุ่นแรกนี่เอง หมายถึงเป็นสกุลช่างของชาวภาคเหนือ มิใช่เป็นพระพุทธรูปแบบลังกา ตามที่มีกล่าวไว้ในประวัติหรือป้ายที่แจ้งเอาไว้เหนือประตูทางเข้าเลย




          หอไตรหลังนี้สร้างขึ้นในสมัยพระเมืองแก้ว ประมาณ พ.ศ. ๒๐๔๐ เคยได้รับการบูรณะซ่อมแซมในสมัยเจ้ากาวิโรรสสุริยวงศ์ (พ.ศ.๒๓๙๗-๒๔๑๓) และอีกครั้งหนึ่งเมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสเมืองเชียงใหม่ปี พ.ศ.๒๔๖๙ ลักษณะเป็นอาคารทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ๒ ชั้น ชั้นล่างก่ออิฐถือปูน ชั้นบนเป็นไม้ มุงหลังคากระเบื้องดินเผา หันหน้าไปทางตะวันออก บันไดทางขึ้นด้านหน้าเป็นรูปมกรคาบสิงห์บนแท่นข้างละ ๑ ตัว ซุ้มประตูทางเข้าในส่วนหน้าบันไดเป็นบุษบกซ้อนกัน ๕ ชั้น แกะสลักลวดลายปูนปั้นพรรณพฤกษา พญานาค และประดับกระจกสี โดยรอบผนังด้านนอกอาคารชั้นล่างประดับด้วยลายปูนปั้น รูปเทวดา และเทพพนม จำนวน ๑๖ องค์ สัตว์หิมพานต์ อาทิ สิงห์ ช้าง กิเลน ปลา กวาง นกยูง คชสีห์ เหมราช และนรสิงห์ เป็นต้น ชั้นบนเป็นเครื่องไม้ทาสีแดงมีปูนปั้นประดับกระจกเป็นรูปดอกไม้ ๘ กลีบ และมีบราลีทำเป็นรูปหงส์อยู่บนสันหลังคา หอไตร เป็นอาคารที่ใช้สำหรับเก็บรักษาพระธรรม คัมภีร์และหนังสือใบลานต่าง ๆ ในพระพุทธศาสนา บางครั้งเรียกว่า หอพระไตรปิฎก

   
               เดิมมาจนรอบวัด พอเดินมาถึงหอไตรเหมือนดั่งโดนมนต์สะกด สะดุดตาในความงามยิ่งความงามด้านศิลปะด้วยแล้ว ถ้ามองจากสายตาของตัวเอง คิดว่าน่าจะเกิดจากการผสมผสานจากหลากหลาย
            
                 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น