วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร พญาผายู กษัตริย์เชียงใหม่ราชวงศ์เม็งราย  โปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๑๘๘๘ ขั้นแรกให้สร้างเจดีย์สูง ๒๓ วา   เพื่อบรรจุพระอัฐิ ของพญาคำฟู พระราชบิดา ต่อมาอีกสองปีจึงสร้างพระอาราม   เสนาสนวิหาร ศาลาการเปรียญ หอไตร และกุฎิสงฆ์เรียบร้อย  ทรงตั้งชื่อว่า "วัดลี" ต่อมาบริเวณหน้าวัดมีตลาดเกิดขึ้นชาวบ้านเรียกว่า   "ตลาดลีเชียง" แล้วเรียกวัดว่า "วัดลีเชียง" และ  "วัดลีเชียงพระ"  ระหว่างปี พ.ศ. ๑๙๓๑ - ๑๙๕๔ สมัยพระเจ้าแสนเมืองมา  ขึ้นครองนครเชียงใหม่โปรดให้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์มาจากเมืองเชียงราย  เมื่อขบวนช้างอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์มาถึงหน้าวัดลีเชียงก็ไม่ยอมเดินทางต่อ 
พระเจ้าแสนเมืองมาจึงให้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ประดิษฐาน ณ วัดลีเชียง ประชาชนทางเหนือนิยมเรียก"พระพุทธสิหิงค์" สั้นๆ ว่า "พระสิงห์" จึงเรียกชื่อวัดตามพระพุทธรูปว่า "วัดพระสิงห์"
เมื่อถึงปี พ.ศ. ๒๓๕๔ พระเจ้ากาวิละได้ โปรดฯ ให้สร้างอุโบสถ และหอไตรขึ้น โดยมีลักษณะเป็นอาคารทรงล้านนาขนาดใหญ่ ตรงกลางอาคารมีกู่ซึ่งแต่เดิมคงเป็นสถานที่ที่ประดิษฐานพระประธาน
พระเจ้าแสนเมืองมาจึงให้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ประดิษฐาน ณ วัดลีเชียง ประชาชนทางเหนือนิยมเรียก"พระพุทธสิหิงค์" สั้นๆ ว่า "พระสิงห์" จึงเรียกชื่อวัดตามพระพุทธรูปว่า "วัดพระสิงห์"
เมื่อถึงปี พ.ศ. ๒๓๕๔ พระเจ้ากาวิละได้ โปรดฯ ให้สร้างอุโบสถ และหอไตรขึ้น โดยมีลักษณะเป็นอาคารทรงล้านนาขนาดใหญ่ ตรงกลางอาคารมีกู่ซึ่งแต่เดิมคงเป็นสถานที่ที่ประดิษฐานพระประธาน
    วิหารลายคำ สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าเมืองแก้ว (พ.ศ.2038 – พ.ศ.2068)  และมาซ่อมแซมใหม่สมัยพระเจ้ากาวิโลรสสุริยวงศ์  เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ 6 ในสมัยรัตนโกสินทร์ (พ.ศ.2399 –  พ.ศ.2413) เป็นวิหารล้านนาที่มีความงามสมบูรณ์แบบที่สุด  ภายในวาดภาพที่ฝาผนัง (มีอายุในสมัยรัตนโกสินทร์) เป็นเรื่องสุวรรณหงส์  และเรื่องสังข์ทอง  นัยว่ามีการแข่งขันกันวาดภาพระหว่างช่างเมืองเหนือที่วาดภาพสังข์ทอง  ส่วนทางด้านทิศใต้วาดเรื่องสุวรรณหงส์  ปัจจุบันนี้ได้มีการศึกษาภาพจิตรกรรมฝาผนังแห่งนี้โดยละเอียดแล้ว  พบว่าเป็นช่างของภาคเหนือทั้งสองด้าน ด้านทิศเหนือเป็นฝีมือของ “เจ็กเส็ง”  ด้านทิศใต้เป็นฝีมือของ “หนานโพธา”  ด้านในมีแท่นประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์  ที่ชาวเชียงใหม่นับถือว่าเป็นพระพุทธรูปที่สำคัญและศักดิ์สิทธิ์ได้มาจาก ลังกา  ผู้ช่วยศาสตราจารย์นันทนา ปกป้อง ได้ให้ข้อคิดเห็นว่า  จากลักษณะขององค์พระพุทธสิหิงค์แล้ว เป็นพระเชียงแสนรุ่นแรกนี่เอง  หมายถึงเป็นสกุลช่างของชาวภาคเหนือ มิใช่เป็นพระพุทธรูปแบบลังกา  ตามที่มีกล่าวไว้ในประวัติหรือป้ายที่แจ้งเอาไว้เหนือประตูทางเข้าเลย
          หอไตรหลังนี้สร้างขึ้นในสมัยพระเมืองแก้ว ประมาณ พ.ศ. ๒๐๔๐  เคยได้รับการบูรณะซ่อมแซมในสมัยเจ้ากาวิโรรสสุริยวงศ์ (พ.ศ.๒๓๙๗-๒๔๑๓)  และอีกครั้งหนึ่งเมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว  เสด็จประพาสเมืองเชียงใหม่ปี พ.ศ.๒๔๖๙ ลักษณะเป็นอาคารทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ๒  ชั้น ชั้นล่างก่ออิฐถือปูน ชั้นบนเป็นไม้ มุงหลังคากระเบื้องดินเผา  หันหน้าไปทางตะวันออก บันไดทางขึ้นด้านหน้าเป็นรูปมกรคาบสิงห์บนแท่นข้างละ ๑  ตัว ซุ้มประตูทางเข้าในส่วนหน้าบันไดเป็นบุษบกซ้อนกัน ๕ ชั้น  แกะสลักลวดลายปูนปั้นพรรณพฤกษา พญานาค และประดับกระจกสี  โดยรอบผนังด้านนอกอาคารชั้นล่างประดับด้วยลายปูนปั้น รูปเทวดา และเทพพนม  จำนวน ๑๖ องค์ สัตว์หิมพานต์ อาทิ สิงห์ ช้าง กิเลน ปลา กวาง นกยูง คชสีห์  เหมราช และนรสิงห์ เป็นต้น  ชั้นบนเป็นเครื่องไม้ทาสีแดงมีปูนปั้นประดับกระจกเป็นรูปดอกไม้ ๘ กลีบ  และมีบราลีทำเป็นรูปหงส์อยู่บนสันหลังคา หอไตร  เป็นอาคารที่ใช้สำหรับเก็บรักษาพระธรรม คัมภีร์และหนังสือใบลานต่าง ๆ  ในพระพุทธศาสนา บางครั้งเรียกว่า หอพระไตรปิฎก
               เดิมมาจนรอบวัด พอเดินมาถึงหอไตรเหมือนดั่งโดนมนต์สะกด สะดุดตาในความงามยิ่งความงามด้านศิลปะด้วยแล้ว ถ้ามองจากสายตาของตัวเอง คิดว่าน่าจะเกิดจากการผสมผสานจากหลากหลาย
                             
 
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น