Sydney เป็นเมืองหลวงของรัฐ New South Wales มีประชากรมากว่า 4 ล้านคน เป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดในออสเตรเลีย และมีจำนวนนักศึกษาไทยไปศึกษามากที่สุดด้วย ซิดนี่ย์จัดได้ว่าเป็นเมืองที่คึกคักเต็มไปด้วยสีสันและมีชื่อเสียงมาก มีสัญลักษณ์ประจำเมืองที่มีชื่อเสียงคือ โอเปร่าเฮ้าส์ (Opera House) สะพานข้ามอ่าวซิดนี่ย์ (Sydney Harbour Bridge) เมือง ซิดนีย์แบ่งออกเป็นเหนือและใต้ มีสะพานซิดนีย์ฮาร์เบอร์และอุโมงค์ฮาเบอร์เชื่อมสองฝั่งเข้าด้วยกัน ย่านทางเหนือของสะพาน เรียกว่า นอร์ทชอร์ ศูนย์กลางของเมืองซิดนีย์อยู่ที่ท่าเรือ Circular Quay ไปจนถึง Central Station ทางฝั่งตะวันตกจะมี Darling Harbour ส่วนทางตะวันออกจะมี ดาร์ลิ้งเฮิร์ส คิงส์ครอส และแพดดิงตั้น และไกลออกไปประมาณ 3 กม. ทางตะวันออกเฉียงใต้ตามแนวชายฝั่ง จะมีชายหาดที่ชื่อบอนไดและคูจี
Sydney เป็นเมืองเก่าแก่ที่สุดของออสเตรเลีย เป็นขุมพลังทางเศรษฐกิจและเป็นเมืองหลวงของทุกด้าน แม้ว่าจริงๆแล้ว ซิดนีย์จะไม่ใช่เมืองหลวงของประเทศออสเตรเลียก็ตาม ที่ซิดนีย์มีท่าเรือสวยงาม อากาศสดใส ชายหาดและร้านอาหารดีๆจำนวนมาก บาร์และสถานบันเทิง และสถานที่ท่องเที่ยว ที่นี่ยังมีการผสมผสานของเชื้อชาติกลุ่มต่างๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตทางวัฒนธรรมของเมืองนี้ ซิดนีย์จึงเป็นสุดยอดเมืองนานาชาติของออสเตรเลีย
รัฐ NSW แบ่งคร่าวๆ ได้เป็นสี่ภูมิภาค ได้แก่ แนวชายฝั่ง เทือกเขาเกรตดีไวดิ้งเรนจ์ ที่ตั้งอยู่ในตัวทวีปห่างจากฝั่งราว 100 กม. ภูเขาบลูเมาเทนด้านตะวันตกของนครซิดนีย์ และภูเขาสโนวีเมาเทน ทางทิศใต้ ทางตะวันตกของเทือกเขาเกรตดีไวดิ้งเรนจ์ คือแถบชนบทที่ทำฟาร์ม เป็นที่ราบ แห้งแล้ง และปกคลุมพื้นที่ 2 ใน 3 ส่วนของรัฐ ที่ราบจะจางหายเข้าไปในเขตร้างผู้คนที่อยู่ไกลออกไปทางตะวันตก ซึ่งมีอุณหภูมิในฤดูร้อนที่อาจขึ้นสูงถึงเกิน 40 องศาเซลเซียส แม่น้ำสายหลักคือแม่น้ำเมอเล่ย์และแม่น้ำดาร์ลิงค์ ซึ่งคดเคี้ยวไปมาสู่ทิศตะวันตกผ่านที่ราบ
Sydney เป็นเมืองที่อากาศสดใสมีแสงแดดมากกว่า 300 วันต่อปี เหมาะแก่การท่องเที่ยวชมธรรมชาติที่สวยงามตลอดทั้งปี ในฤดูร้อนอุณหภูมิสูงถึง 40 องศาเซลเซียสและมีอากาศชื้น ในฤดูหนาว อุณหภูมิอาจต่ำลงถึง 10 องศาเซลเซียส แต่โดยทั่วไปอากาศจะอยู่ที่ 20 องศาเซลเซียส และมีความชื้นพอสมควร Sydney จึงเหมาะแก่การทำกิจกรรมต่างๆ
ฤดูใบไม้ผลิ ตั้งแต่เดือนกันยายน - พฤศจิกายน เป็นช่วงที่อากาศดีเพราะเพิ่งจะผ่านหน้าหนาว มา เป็นช่วงที่ดอกไม้ผลิสวยงาม ผู้คนนิยมไปอาบแดด เล่นเวฟกันตามชายหาดต่างๆ |
---|
ฤดูร้อน ตั้งแต่เดือนธันวาคม - กุมภาพันธ์ ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่อากาศร้อนจัดและแห้งแล้ง คนที่กลัวแดดเผา แนะนำว่าควรจะทาครีมกันแดดเพราะแดดแรงกว่าที่เมืองไทยมาก ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเหตุให้ชาวออสซี่หลายคนเป็นมะเร็งผิวหนังกันมาก |
ฤดูใบไม้ร่วง ตั้งแต่เดือนมีนาคม - พฤษภาคม ช่วงนี้อากาศเริ่มเย็นลงเรื่อยๆ อาจมีฝนตกบ้างในบางครั้ง ในช่วงตอนกลางคืนควรจะสวมเสื้อคลุม เพราะอาจมีลมแรงและอากาศจะหนาว |
ฤดูหนาว ตั้งแต่เดือนมิถุนายน - สิงหาคม เป็นช่วงที่หนาวจัด ควรเตรียมผ้าพันคอ ถุงมือและถุงเท้าที่หนาๆ หรือสวมหมวกด้วยก็จะช่วยได้มาก แต่ในตัวเมืองซิดนีย์เองจะไม่มีหิมะตก อากาศจะอยู่ที่ประมาณ 5-18 องศา จะหนาวจัดในช่วงกลางคืน ควรทาครีมบำรุงผิวเพื่อจะช่วยป้องกันผิวแห้งแตก เพราะอากาศจะแห้งมาก | Sydney Opera House |
Sydney Opera House เชื่อว่าหลายๆ คนคงเคยเห็นสถาปัตยกรรมรูปทรงคล้ายหอยเชลล์มาบ้างแล้วจากทีวี ภาพยนตร์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของออสเตรเลียก็ว่าได้ เป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยว แวะเวียนมาแชะรูปถ่ายกันตลอดเวลา ไม่ขาดสายเลยค่ะและภายใน Sydney Opera House ก็จะประกอบไปด้วยส่วนของศาลาคอนเสิร์ต โรงละคร ภัตตาคาร และศูนย์วัฒนธรรม แห่งชาติของประเทศออสเตรเลียและยังเป็นจุดชมวิวชมวิวที่สวยงาม ไม่ว่าจะเป็นตอนกลางวันหรือตอนกลางคืน และถ้าใครมาซิดนีย์แต่ไม่มาที่ Opera House ก็เท่ากับว่ามาไม่ถึง เพราะที่นี่เป็นหัวใจหลักเลยก็ว่าได้ | Sydney Opera House ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ที่ปลายแหลมของผืนดินที่ยื่นออกไปในทะเลเล็กน้อย โดยมีน้ำทะเลล้อมรอบอยู่ถึง 3 ด้าน Opera House มองดูเหมือนเรือ แม้ว่าแรงบันดาลใจของผู้ออกแบบจะมาจากการปอกเปลือกของผลส้มแมนดารินก็ตาม ต้องถือว่า Sydney Opera House เป็นสัญลักษณ์ของนครซิดนีย์เลยทีเดียว ตั้งแต่เริ่มก่อสร้างจนถึงปัจจุบัน Opera House แห่งนี้ถูกถ่ายรูปมาแล้วนับพันๆล้านครั้ง นอกจากความเลอเลิศของรูปแบบของสถาปัตยกรรมที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นที่จะสร้าง ความประทับใจให้ทุกคนที่มาเยือนจนอยากจะมาอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่าแล้ว | Sydney Opera House มีประวัติคือ ก่อนที่จะมีการก่อสร้าง Sydney Opera House ขึ้น ซิดนีย์ไม่มีสถานที่ที่เหมาะสมเพียงพอในการเปิดแสดงดนตรีและการแสดงต่างๆ ชาวเมืองใช้ที่ว่าการของเมืองเป็นที่จัดแสดง แต่เวทีการแสดงก็ยังไม่มีความสมบูรณ์และเหมาะสมอยู่ดี เมื่อ Sir Eugene Goosens ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าวาทยากรของวงดุริยางค์ Sydney Symphony Orchestra และดำรงตำแหน่งกรรมการของ NSW Conservatorium of Music ในปี 1947 จึงได้มีแนวความคิดที่จะสร้างสถานที่จัดแสดงทางศิลปะแห่งใหม่ ซึ่งรวมถึงการแสดงคอนเสริต ดุริยางคศิลป์และโอเปร่า เข้าด้วยกันในที่ที่เดียว ซึ่งควีนอลิซาเบท ที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร เสด็จมาเป็นองค์ประธานในพิธีเปิด Sydney Opera House อย่างเป็นทางการ ในวันที่ 20 ตุลาคม 1973 นับตั้งแต่เริ่มเปิดให้มีการแสดงในปี 1973 Sydney Opera House มีการจัดการแสดงหลากหลายประเภทมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน สรรค์สร้างความบันเทิงให้กับผู้คนนับล้านๆคนจากทั่วโลก และเป็นที่ที่ศิลปินที่มีชื่อเสียงต้องการได้รับโอกาสมาเปิดการแสดงอย่าง น้อยสักครั้งในชีวิต โดยเฉลี่ยแล้วในปีๆหนึ่งจะมีการแสดงทุกประเภทรวมกันประมาณ 3,000 รายการ และมีผู้ชมประมาณ 2 ล้านคน | นอกจาก นี้ Sydney Opera House ได้รับการคัดเลือกจาก การประชุม ยูเนสโกที่ประเทศนิวซีแลนด์ให้เป็นมรดกโลกแห่งล่าสุด เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2550 อีกด้วย | Sydney Harbour Bridge |
Sydney Harbour Bridge เป็นอีกสัญลักษณ์หนึ่งของ Sydney ที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดี ที่นี่เขามีบริการ Climbing Bridge ซึ่งก็คือการไต่สะพาน Harbour นี้เอง ซึ่งบรรดานักท่องเที่ยวจะมาท้าทายความตื่นเต้น เพราะสะพานแห่งนี้สูงถึง 134 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล (ถ้าใครอยากทดสอบความกล้าก็มาทดสอบได้ว่าคุณกล้าแค่ไหน) การปีนสะพานเหล็กแห่งนี้เป็นทางเลือกที่น่าลองทีเดียว สามารถซื้อตั๋วราคาไม่ถูกเลยได้ที่นี่ ก่อนจะเริ่มการปีนป่ายจะต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดที่ออกแบบมาพิเศษเพื่อ ใช้ปีนสะพานนี้โดยเฉพาะ ชุดที่ว่านี้มีอุปกรณ์ป้องกันที่จะไม่ให้ตัวเราและชิ้นส่วนของเราไม่ว่าจะ เป็นอะไรก็ตามหลุดลงไปข้างล่างระหว่างที่การปีนป่ายกำลังดำนินไป แม้แต่คนที่สวมแว่นตาก็จะมีเครื่องยึดแว่นตาของคุณเอาไว้ไม่ให้หลุด ทุกคนในกลุ่มซึ่งประกอบด้วยคนประมาณ 12 คนจะถูกยึดติดกันด้วยสายเคเบิ้ลแข็งแรง เคยมีคนพูดให้ฟังว่า แม้แต่คนที่ต้องการฆ่าตัวตายก็ยังไม่มีทางทำได้เลย ปลอดภัยแค่ไหนก็ลองคิดดูเอาเองก็แล้วกัน | ก่อน ที่จะเดินทางออกจากจุดเริ่มต้นจะมีเจ้าหน้าที่มาอธิบายทบทวนวิธีการปีนให้ ปลอดภัย และเตรียมพร้อมต่อการปีนออกกำลังกายในที่สูง รวมถึงมาตรการที่จะทำให้ปลอดภัยมากที่สุดซึ่งคุณต้องปฏิบัติตามอย่าง เคร่งครัด ระหว่างการปีนจะมีเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญติดตามไปกับกลุ่มอย่างใกล้ชิดด้วย เมื่อไปถึงจุดสูงสุดตรงยอดกลางของสะพานที่ความสูง 134 เมตรจากระดับอ่าวข้างล่าง คุณจะได้ถ่ายรูปที่มีบริการเพื่อเป็นที่ระลึกและนำมาอวดคนที่บ้านและเพื่อนๆ ที่ยังไม่มีโอกาสไป ก่อนที่จะค่อยๆปีนลงมายังอีกด้านหนึ่งของสะพาน การปีนสะพานใช้เวลาทั้งหมดราว 3 ชั่วโมงครึ่ง คนดังหลายคนที่เคยมาปีนสะพานแห่งนี้แล้วมีอาทิ เจ้าชาย แฮรี่ Matt Damon, Kylie Minoque, Cathy Freeman, Pat Rafter เป็นต้น | สำหรับ ผู้ที่สุขภาพไม่พร้อมที่จะปีนป่ายขึ้นไปยังที่สูงชันดังกล่าว ยังสามารถเลือกได้ที่จะแต่งเติมประสบการณ์อีกแบบหนึ่งด้วยการลองเดินข้าม สะพานโดยใช้ทางเดินที่จัดเอาไว้จากปลายด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่งของสะพาน สะพานแห่งนี้ผ่านยุคสมัยการสัญจรของผู้คนมาหลายทศวรรษ มนต์เสน่ห์เก่าๆยังมีอยู่ต็มเปี่ยม ยามเมื่อคุณได้เดินทอดน่องบนสะพานชมทัศนียภาพของเมือง เมื่อมองจากทางเดินบนสะพานคุณจะเห็นวิวของซิดนีย์ในมุมมองที่แปลกออกไป ครั้นเมื่อทอดสายตาชมอ่าว เรือยอร์ชและเรือเฟอรี่ที่วิ่งขวักไขว่ในบริเวณอ่าว ฟองและยอดเกลียวคลื่นเล็กๆบนผิวน้ำเมื่อเรือแต่ละลำแทรกกายพุ่งไปข้างหน้า แต่งแต้มให้ผืนน้ำและท้องฟ้าของอ่าวตระการตาจนยากที่จะละสายตาจากไป เพราะที่นี่จะอยู่ใกล้กับ Sydney Opera House ใกล้แค่เอื้อม | สะพาน Harbor Bridge เป็นสะพานที่กว้างที่สุดในโลก (แต่ไม่ยาวที่สุด) เป็นสัญลักษณ์อีกอันหนึ่งของ ออสเตรเลีย โดยใช้เวลาสร้างทั้งหมด 8 ปี มีความสูง 134 เมตรจากระดับน้ำทะเล สร้างจากเหล็กจำนวน 52,000 ตัน ใช้สีทาสะพาน 272,000 ลิตร และมีคนจำนวน 1,400 คนที่มีส่วนในการก่อสร้างสะพานแห่งนี้ และSydney Harbour Bridge เพิ่งจะฉลองครบรอบ 75 ปี Sydney Harbour Bridge ในวันที่ 18 มีนาคม 2007 | Blue Mountains |
Blue Mountains เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง อยู่ห่างจากตัวเมืองซิดนีย์ไปทางใต้ราว 2 ชั่วโมงด้วยการขับรถในความเร็วปกติ การเดินทางมาชมเสน่ห์ของขุนเขาแห่งนี้สามารถทำได้หลายวิธี เช่นอาจจะใช้บริการรถไฟที่จะมีขบวนรถออกจาก เซ็นทรัลสเตชั่นทุกๆชั่วโมง และในอีก 2 ชั่วโมงต่อมาเมื่อถึงสถานี คาทุมบา (Katoomba Station) ก็มาต่อด้วย Explorer Bus ซึ่งให้บริการออกจากสถานีรถไฟคาทุมบาทุกๆชั่วโมงเช่นกัน เริ่มจากเวลา 9.30 น. จนถึงเวลา 16.30 น. การซื้อตั๋วแบบรวมทั้งรถไฟและรถบัสก็มีให้เลือกในราคาน่าสนใจทีเดียว | Blue Mountains เป็นดินแดนที่สร้างสรรค์จากผลงานตามธรรมชาติ มีเทือกเขามากมายที่ให้เราชม เทือกเขาที่เด่นสุดของที่นี่คือ เทือกเขา ทรี ซีสเตอร์ ร็อกส์ (Three Sister Rocks) หรือเรียกกันว่า เขาสามอนงค์ โดยเทือกเขานี้จะมีภูเขาทั้ง 3 ลูกเรียงกัน ที่นี่เหมาะแห่งการชมพระอาทิตย์ตกดิน เพราะจะสวยเป็นพิเศษเหมาะแห่งการถ่ายรูป (อย่าลืมเอากล้องไปด้วยนะเดี๋ยวหาว่าไม่บอก) | | ตำนานของ The Three Sisters The Three Sisters ยอดเขาสามยอด หรือสามใบเถา แห่งเทือกเขาบลูเมาร์เท่น นับว่าเป็นจุดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ของสถานที่แห่งนี้ มีตำนานของชาวพื้นเมืองเล่าขานกันมาว่า กาลครั้งหนึ่ง ณ เทือกเขาแห่งนี้ เป็นที่อยู่ของชายคนหนึ่งชื่อ ทยาวัน (Tyawan) เขามีลูกสาวสวยอยู่ 3 คนคือ มีนนี (Menhi) วิมาลา (Weemalah) และกันนีดู (Gunnedoo) ทยาวันมีกระดูกวิเศษอยู่ชิ้นหนึ่งซึ่งทำให้เขาสามารถแปลงร่างเป็นนกไลเออ เบิร์ด (Lyrebird)ได้ ทุกครั้งที่เขาออกไปล่าสัตว์ ทยาวันจะสั่งลูกสาวทั้งสามให้ไปอยู่บนหน้าผาสูงและห้ามไม่ให้ไปไหนจนกว่าเขา จะกลับมา ทั้งนี้เพื่อให้ปลอดภัยจาก “บันยิบ” วิญญาณที่ทรงอำนาจซึ่งอาศัยอยู่ในหุบเขาลึกเบื้องล่าง | วัน หนึ่งสาวน้อย มีนนี เกิดเอาหินไปเคาะที่หน้าผา เป็นเหตุให้เกิดแผ่นดินเคลื่อน ปลุกวิญญาณของบันยิบขึ้นมา และเมื่อบันยิบมองเห็นเด็กสาวทั้งสามเกาะกันอยู่บนหน้าผา จึงขึ้นไปหา ทยาวัน พ่อของเด็กสาวทราบเรื่อง แต่ไม่สามารถเดินทางไปช่วยลูกได้ทัน จึงเลือกวิธีเสกให้ลูกสาวกลายเป็นหินไปพลางๆก่อน บันยิบจึงหันมาเล่นงานพ่อแทน ทยาวันแปลงร่างเป็นสัตว์ต่างๆเพื่อไม่ให้บันยิบตามหาพบ ท้ายสุดเขาแปลงร่างเป็นนกไลเออเบิร์ด โดยใช้กระดูกวิเศษที่มีอยู่ แต่ในขณะที่มือของทยาวันกลับกลายเป็นปีกนกนั่นเอง กระดูกวิเศษได้หลุดลอยออกจากมือของเขาไป | บันยิบเลิกตามหาทยาวันและกลับไปยังที่พักของมันตามเดิม แต่อนิจจา ทยาวันยังคงเป็นนกไลเออเบิร์ดที่บินวนเวียนอยู่ในหุบเขาอยู่นั่นเอง และลูกสาวทั้งสามก็ยังคงเป็นหินอยู่ตามเดิม จนกว่าทยาวันจะหากระดูกวิเศษพบและแปลงร่างกลับกลายมาเป็นคน จึงจะคลายมนต์ให้ลูกสาวทั้งสามกลับกลายมาเป็นมนุษย์เช่นเดิมได้ |
|
|
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น